*
*
ซาโตนูมะ (SATO-NUMA)
เมืองทาเตบายาชิ
*
*
วัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำของเมืองทาเตบายาชิที่หล่อหลอมขึ้นจากบึงแห่งการสวดอธิษฐาน ความอุดมสมบูรณ์ และการปกปักรักษา
*

บึงแห่งการสวดอธิษฐาน

*

บึงแห่งความอุดมสมบูรณ์

*

บึงแห่งการปกปักรักษา

หากมองไปยังภูเขาต่าง ๆ ในภูมิภาคคันโต จะพบว่ายังคงมีบึงต่าง ๆ จำนวนหลายแห่งในเมืองทาเตบายาชิที่ยังคงรอคอยการค้นพบอยู่ บึงต่าง ๆ ในเมืองทาเตบายาชิตั้งอยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัยของผู้คนและมีความเชื่อมโยงกับชีวิตของผู้คนอย่างลึกซึ้งในลักษณะที่คล้ายคลึงกับ “ซาโตยามะ” หรือพื้นที่ระหว่างหมู่บ้านกับภูเขา ผู้คนสามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมและหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมในซาโตนูมะ (แปลตามตัวอักษรว่า “หมู่บ้านแห่งบึง”) ผ่านการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ บึงแต่ละแห่งในซาโตนูมะของเมืองทาเตบายาชิมีลักษณะและธรรมชาติแตกต่างกันไป ประวัติความเป็นมาของพื้นที่แห่งนี้ยังได้ถูกบอกเล่าในรูปแบบอื่น ๆ ผ่านทางภูมิทัศน์และศาสนาอันบริสุทธิ์ในซาโตนูมะ ซึ่งตั้งอยู่ในบึงโมรินจิ (Morinji-numa) หรือ “บึงแห่งการสวดอธิษฐาน” ความอุดมสมบูรณ์ของบึงต่าง ๆ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตในบึงทาตาระ (Tatara-numa) หรือ “บึงแห่งความอุดมสมบูรณ์” และบึงโจ (Jo-numa) หรือ “บึงแห่งการปกปักรักษา” ที่ช่วยปกป้องจุดชมวิวของปราสาททาเตบายาชิและทุ่งกุหลาบพันปี มาลัดเลาะตามเส้นทางไปสู่ซาโตนูมะ และสัมผัสวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำของเมืองทาเตบายาชิที่หล่อหลอมขึ้นจากบึงแต่ละแห่งกัน
*

วัฒนธรรมการต้อนรับของซาโตนูมะ

*
ซาโตนูมะ (SATO-NUMA)
งในเมืองทาเตบายาชิเป็นที่รู้จักกันในสมัยโบราณและในชุมนุมมันโยชู (กวีนิพนธ์ญี่ปุ่นสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8) ในชื่อว่าโคโมรินุ (บึงลับแล) เนื่องจากภูมิภาคนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัดและรายรอบไปด้วยพืชพันธุ์ริมน้ำที่ทำให้ผู้คนย่างกรายเข้าไป เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มโยกย้ายเข้ามาใกล้และตั้งถิ่นฐานอยู่รอบบึง บึงเหล่านี้จึงได้เชื่อมโยงเข้ากับชีวิตของผู้คน จนกระทั่งบังเกิดเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกับบึงต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน พื้นที่นี้ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนามซาโตนูมะ ซาโตนูมะเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศญี่ปุ่นที่แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังสื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตที่กลมกลืนเข้ากับธรรมชาติ ปัจจุบันนี้บึงต่าง ๆ ทั่วประเทศกำลังค่อย ๆ หายไป เนื่องจากถูกกลืนหายไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่นำการพัฒนานาข้าวแบบใหม่มาใช้และการก้าวสู่ความทันสมัย อย่างไรก็ตาม ณ เมืองทาเตบายาชิแห่งนี้ เรายังคงสามารถเห็นซาโตนูมะอันเป็นดินแดนแห่งบึงที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่งได้ ซึ่งลักษณะพิเศษของบึงต่าง ๆ ก็ได้รับการบ่มเพาะมากยิ่งขึ้นไปตามกาลเวลา
*
บึงแห่งการสวดอธิษฐาน
บึงโมรินจิ
*
*
บึงโมรินจิ ภูมิทัศน์บริสุทธิ์ดั้งเดิมของซาโตนูมะ
ในครั้งโบราณกาล เราสามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์ของพื้นที่น้ำขังและหนองน้ำกระจายตัวอยู่รอบริมแม่น้ำและบึงในเขตพื้นที่แห่งนี้ โดยมีป่าพื้นที่ลุ่มต่ำห้อมรอบอยู่โดยรอบ บึงและหนองน้ำเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์น้ำทุกชนิด เช่น ปลาคาร์พ ปลาคาร์พไม้กางเขน และแมลงปอ รวมทั้งแมลง พืชน้ำ และพืชในบึงต่าง ๆ เช่น ต้นกระจับและสาหร่าย ในทางกลับกัน ป่าพื้นที่ลุ่มต่ำในพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ก็เป็นที่อาศัยอยู่ของทานูกิ งู และนกป่าต่าง ๆ ปัจจุบันเราแทบจะไม่เห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอยู่โดยรอบแหล่งน้ำเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากการพัฒนาเมืองที่แผ่ขยายเข้าไปยังที่ราบเปิดโล่ง อย่างไรก็ตาม แม้สภาพแวดล้อมโดยรอบของบึงโมรินจิจะกลายสภาพเป็นที่ดินอยู่อาศัย แต่ตัวบึงโมรินจิเองก็ยังคงรักษาภูมิประเทศอันบริสุทธิ์ดั้งเดิมไว้อยู่ ด้วยพันธุ์ไม้หายาก เช่น บัวญี่ปุ่น คากิสึบาตะ และยูโฟเรียอะดีโนคลอรา ซึ่งเจริญเติบโตตามธรรมชาติในบึง พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในบึงพื้นที่ลุ่มต่ำอันทรงคุณค่าซึ่งมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในภูมิภาคคันโต
*
สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมบึงโมรินจิแห่งนี้จึงสามารถรักษาภูมิทัศน์อันบริสุทธิ์ดั้งเดิมไว้ได้แม้กระทั่งทุกวันนี้ มีวัดโบราณแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าวัดโมรินจิ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบ 600 ปีที่แล้ว ผู้คนในพื้นที่ต่างรู้สึกยำเกรงต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเนื่องจากการถือกำเนิดของ “สถานที่สวดอธิษฐาน” แห่งนี้ ซึ่งเป็นฐานความเชื่อของนิกายโซโตที่อยู่ตามชายฝั่งบึง แต่คนในพื้นที่ก็ได้รับความรู้สึกสุขสงบจาก “บึงแห่งการสวดอธิษฐาน” ไปด้วยโดยไม่รู้ตัว พวกเขาจึงตั้งชื่อว่าบึงโมรินจิตามชื่อวัดดังกล่าว นิทานพื้นบ้านเก่าแก่เรื่อง 'บูนบูกุ ชางามะ (กาน้ำชา)' ที่ถูกเล่าต่อกันมาภายในวัดซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุนัขแรคคูน (ทานูกิ) ก็ยังคงถูกบอกเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างมีอารมณ์ขันกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น พระภิกษุในพระพุทธศาสนาผู้กลับชาติมาเกิดเป็นสุนัขแรคคูน และตัวทานูกิแปลงร่างเป็นกาน้ำชา
*
วัดโมรินจิมีอาคารหอหลักและประตูวัดซึ่งเป็นหลังคาที่มุงขึ้นทั้งคู่ โดยอันที่จริงแล้วก็มีการใช้ต้นกกจากบึงมามุงหลังคาใหม่จนถึงทุกวันนี้นั่นเอง ผู้คนรักษาระบบนิเวศของบึงด้วยการตัดต้นกกที่ขึ้นหนาแน่น และบึงโมรินจิก็ได้รับการดูแลรักษาให้กลมกลืนเข้ากับผู้คนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งซาโตนูมะ แม้กระทั่งในตอนนี้ วัดแห่งนี้ซึ่งไร้วี่แววผู้คนเข้ามาสวดอธิษฐานก็ยังคงดำรงอยู่ร่วมกับสัตว์และพืชหายากในบึงต่อไป
*
01
บึงโมรินจิ (Morinji-numa) และพื้นที่ลุ่มต่ำชุ่มน้ำ
*
*
02
วัดโมรินจิ [บุนบูกุ ชางามะ (กาน้ำชา)]
*
*
03
ต้นสนยูพลัมที่วัดโมรินจิ
*
*
04
“ดงโดยากิ” แห่งเมืองโฮริกูโจ (กองไฟ)
*
39
วัตถุที่ขุดค้นพบที่บึงงู (Hebi-numa) และซากคูขุดเชื่อมโบราณ
*
*
บึงแห่งความอุดมสมบูรณ์
บึงทาตาระ
*
*
บึงทาตาระ ที่หล่อเลี้ยง “เมืองข้าวสาลี” แห่งเมืองทาเตบายาชิ
ป่าสนยาวเรียวที่เชื่อมระหว่างบึงทาตาระกับพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่นี่มีความทรงจำของการผลิตเหล็กหลงเหลืออยู่จากอดีตที่นานมาแล้ว ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นที่มาของชื่อพื้นที่บริเวณ “ทาตาระ” นี่เอง ดินแดนแห่งนี้ได้รับการแผ้วถางจากความพยายามของบุคคลผู้บุกเบิกชื่อว่าคิวฮากุ โอยะ ซึ่งเป็นผู้เพียรพยายามในการปลูกต้นไม้และขุดคูน้ำชลประทานเมื่อ 500 ปีก่อน บึงทาตาระได้รับการพัฒนาให้เป็นซาโตนูมะ สถานที่สำหรับดำรงชีพที่รองรับชีวิตของผู้คนได้
*
แปลงพืชต่าง ๆ ได้รับการชลประทานโดยใช้น้ำจากบึง ทำให้สามารถเพาะปลูกพืชผลได้ 2 ชนิด คือ ข้าวและข้าวสาลี ในสมัยเอโดะ เมืองทาเตบายาชิได้กลายเป็นพื้นที่หลักในการผลิตข้าวสาลี ถึงขนาดที่ตระกูลทาเตบายาชิยังได้มอบแป้งสาลีเป็นของกำนัลแก่ครอบครัวของโชกุนด้วย อุตสาหกรรมการสีและการกลั่นสมัยใหม่ที่ใช้ข้าวสาลีได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในสมัยเมจิ เมืองทาเตบายาชิซึ่งได้กลายเป็นที่รู้จักกันในนาม “เมืองข้าวสาลี” ก็ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อต่าง ๆ ที่ทำจากข้าวสาลี เช่น รากูงัน (ขนมหวานแบบแห้ง) อุด้ง และซอสถั่วเหลือง น้ำสะอาดและดินอันอุดมสมบูรณ์ในเขตพื้นที่ซาโตนูมะ ทำให้บึงทาตาระได้พัฒนาการกลายเป็น “บึงแห่งความอุดมสมบูรณ์” และนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรมอาหารของเมืองทาเตบายาชิในปัจจุบัน
*
“บึงแห่งความอุดมสมบูรณ์” เป็นจุดที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการตกปลา และบึงแห่งนี้ยังคอยหล่อเลี้ยงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมากมาย อีกทั้งการใช้ประโยชน์จากผลิตผลของบึงก็ได้นำมาซึ่งวัฒนธรรมอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ที่รังสรรค์เมนูอาหารต่าง ๆ เช่น เท็มปุระปลาดุก ปลาคาร์พชิ้นที่ชะในน้ำเย็น และคันโรนิปลาคาร์พไม้กางเขน (สตูว์ที่ทำด้วยซอสถั่วเหลืองและน้ำตาล) อาหารอันหลากหลายและรสชาติของอาหารแต่ละชนิดเหล่านี้ได้รับการพัฒนามาเป็นเวลายาวนานหลายปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนที่อุดมสมบูรณ์สำหรับคนในท้องถิ่น อาหารเหล่านี้จึงยังคงเป็นเมนูที่อยู่ในชีวิตประจำวันแม้กระทั่งทุกวันนี้ เมนูต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกเสิร์ฟทั้งในรูปแบบของการต้อนรับขับสู้และการสนุกเพลิดเพลินในการปรุงอาหารในวันที่ท้องฟ้าสดใส
*
05
บึงทาตาระ (Tatara-numa)
*
*
06
ซากโบราณสถานบึงทาตาระ (ซากเหล็ก)
*
*
07
เนินทรายโบราณบนผืนดิน
*
*
08
สุสานของคิวฮากุ โอยะ
*
*
09
“ซาซาระ” การเชิดสิงโตและระบำดาบในเมืองคามิมิบายาชิ (วัฒนธรรมดั้งเดิม)
*
10
“โฮไน เคไก ซูชิ” แผนที่ประวัติศาสตร์ ปี 1855
*
11
อุปกรณ์ตกปลาและเรือฮินาตะ
*
12
ร้านอาหารปลาน้ำจืด (ปลาดุก ปลาคาร์พ ปลาคาร์พไม้กางเขน และปลาไหล)
*
40
บึงคงโด (Kondo-numa) (โฮริอาเงตะ)
*
*
บึงแห่งการปกปักรักษา
บึงโจ
*
*
บึงโจ ที่คอยปกปักรักษาปราสาททาเตบายาชิและตำหนักสึตสึจิงาซากิ
ปราสาททาเตบายาชิสร้างขึ้นเมื่อ 550 ปีก่อนโดยใช้บึงโจที่ทอดตัวยาวล้อมรอบจากตะวันตกถึงตะวันออกเป็นระยะ 5 กิโลเมตร เป็นจุดชัยภูมิตามธรรมชาติ บึงโจทำหน้าที่เป็นคูน้ำชั้นนอกที่ล้อมรอบที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาททาเตบายาชิที่ถูกสร้างขึ้น สำหรับผู้บัญชาการทหารของปราสาทแล้ว บึงแห่นี้ก็ได้กลายเป็น “บึงแห่งการปกปักรักษา” อย่างแท้จริง ปราสาทที่แข็งแกร่งแห่งนี้ได้รับการป้องกันจากบึงแห่งนี้ ทั้งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันเมืองเอโดะในยุคสมัยใหม่ตอนต้นอีกด้วย ปราสาทแห่งนี้จึงกลายเป็นปราสาทของยาซูมาซะ ซากากิบาระ หนึ่งในสี่แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงของโชกุนอิเอยาซุ โทกูงาวะ และโชกุนสึนาโยชิ โทกูงาวะ ผู้เป็นโชกุนลำดับที่ห้า เขตเมืองรอบปราสาทได้รับการขยับขยายเพื่อเสริมสร้างการป้องกันในพื้นที่ มีการทดน้ำที่อยู่โดยรอบเข้ามาล้อมรอบปราสาทโดยผันน้ำเข้าสู่คูน้ำตามแนวกำแพง
*
สองตำนานที่กำเนิดขึ้นจาก “บึงแห่งการปกปักรักษา” ตำนานแรกเป็นตำนานเทพเจ้ามังกร บึงโจได้กลายเป็นที่รู้จักกันในฐานะที่เป็นที่พำนักของเจ้าแห่งบึง คือ ราชามังกร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าไปใกล้บึง และยังคงมีบ่อน้ำหลงเหลืออยู่ในเขตเมืองรอบปราสาทและถ่ายทอดตำนานนั้นเรื่อยมา อีกตำนานหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกุหลาบพันปีที่มีความเกี่ยวข้องกับหญิงที่มีชื่อว่าโอตสึจิ ผู้ซึ่งราชามังกรได้พบเห็นเข้าเมื่อ 400 ปีก่อน และได้กระโดดน้ำปลิดชีพตัวเองในบึงโจ ด้วยความเศร้าเสียใจในเหตุการณ์นี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงตัดสินใจปลูกกุหลาบพันปีบนเนินเขาที่มองเห็นบึงแห่งนี้ และตั้งชื่อว่าสึตสึจิงาซากิ (ปัจจุบันคือสวนสึตสึจิงาโอกะ) ขุนนางผู้สืบทอดปราสาททาเตบายาชิยังคงปลูกกุหลาบพันปี ณ สถานที่แห่งนั้นเรื่อยมา ทั้งยังสร้างสวนไดเมียวขนาดใหญ่ในรูปแบบสวนวนรอบที่มีสระน้ำคล้ายกับบึงโจที่อยู่บนเนินเขาเทียม และมีพื้นที่ราบสูงเพื่อให้ดอกไม้เบ่งบานได้อย่างเต็มที่ ตำหนักสึตสึจิงาซากิได้รับการคุ้มครองโดยเจ้าของปราสาท และได้รับสมญานามว่า ฮานายามะ (ภูเขาดอกไม้) และเปิดให้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้เข้าชมในช่วงฤดูดอกไม้บาน
*
การก้าวสู่ความทันสมัยที่เข้ามาช่วงหลังการฟื้นฟูเมจิ ทำให้ “บึงแห่งการปกปักรักษา” เกิดการเปลี่ยนแปลงโฉมครั้งใหญ่ บึงโจที่เคยถูกปิดไม่ให้ประชาชนเข้าชมในช่วงสมัยเอโดะเนื่องจากการห้ามตกปลา ได้ฟื้นคืนชีพใหม่ในฐานะที่เป็นซาโตนูมะ โดยเปิดให้ชาวหมู่บ้านทำการประมงและปลูกนาข้าวใหม่ รวมทั้งดำเนินกิจการเรือโดยสารอีกด้วย
*
13
บึงโจ (Jo-numa)
*
*
14
“โจโม ทาเตบายาชิ โจนูมะ โชซัง ซูอิโซซู” ม้วนหนังสือที่ทำจากพืชน้ำ ปี 1845
*
15
ซากโบราณสถานของปราสาททาเตบายาชิ [“ซันโนมารุ โดบาชิมง” (ประตู)/อนุสาวรีย์ทุ่งนาที่บึงโจ]
*
*
16
ศาลเจ้าโอบิกิอินาริ
*
*
17
“เอมะ” แผ่นไม้บูชาในปราสาททาเตบายาชิ
*
*
18
สวนกุหลาบพันปีสึตสึจิงาโอกะ
*
*
19
วัดเซ็นโดจิ (สุสานของยาซูมาซะ ซากากิบาระ)
*
*
20
วัดเซ็นโจจิ (สุสานของโชชิตสึอินเด็น / สุสานของโอตสึจิและมัตสึโจ)
*
*
21
บ่อน้ำ “ทัตสึโนะอิ” และ “เซริวโนะอิโดะ”
*
*
22
“คิว ทาเตบายาชิ ฮันชิ จิวตากุ” ที่พำนักเดิมของผู้ติดตามขุนนาง
*
*
23
“โคเซกิ อาไรเซกิ” สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์เขื่อนระบายน้ำ
*
24
ศาลเจ้าชิกูบูชิมะ
*
*
25
เรือข้ามฟาก “บึงโจ (Jo-numa)”
*
*
26
“โอระ โคเอ็น สึตสึจิงาโอกะ” ภาพวาดโดยซูอิอุน โคมูโระ (จิตรกรชื่อดังจากเมืองทาเตบายาชิ)
*
41
บริเวณรอบศาลเจ้านางาระและเมืองปราสาททาเตบายาชิ
*
*
วัฒนธรรมการต้อนรับของซาโตนูมะ
*
*
“จิตวิญญาณแห่งการต้อนรับ” อันประณีตของวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำของเมืองทาเตบายาชิ
การเปลี่ยนแปลงสภาพของ “บึงแห่งการปกปักรักษา” เนื่องมาจากการก้าวสู่ความทันสมัยยังเปลี่ยนแปลงตำหนักสึตสึจิงาซากิ ซึ่งเคยตั้งอยู่ในบึงโจและภูมิประเทศแห่งนี้ ตำหนักสึตสึจิงาซากิอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจ้าของปราสาทมาเป็นเวลายาวนานหลายปี แต่ด้วยความพยายามของชาวเมืองและชาวบ้านในท้องถิ่น ตำหนักแห่งนี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่เรียกว่าสวนสึตสึจิงาโอกะ กุหลาบพันปีที่ปลูกไว้เมื่อ 400 ปีก่อนได้กลายเป็นป่าเก่าแก่ทรงคุณค่า และได้รับการฟื้นฟูให้เป็นจุดชมวิว ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตพื้นที่นี้ และได้เห็นพัฒนาการของวัฒนธรรมการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต้อนรับ
*
บริษัทต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงโรงโม่แป้ง ผู้ผลิตซอสถั่วเหลือง และผู้ผลิตสิ่งทอได้ถูกสร้างขึ้นในเขตเมืองรอบปราสาทซึ่งได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย บริษัทต่าง ๆ เหล่านี้ได้ใช้สึตสึจิงาโอกะเป็นสถานที่ต้อนรับแขกทั้งภายในและต่างประเทศ การเปิดเส้นทางรถไฟโทบุและการเปิดตัวหนังสือท่องเที่ยวของนักเขียนชื่อดัง คาไต ทายามะ (ค.ศ. 1872-1930) ผู้ถือกำเนิดในเมืองทาเตบายาชิ ได้ดึงดูดผู้คนจากแดนไกลให้มาเยี่ยมชมสวนสึตสึจิงาโอกะและวัดโมรินจิในพื้นที่ชุ่มน้ำของซาโตนูมะ นอกจากนี้แล้ว รากูกันและอุด้งจานพิเศษในท้องถิ่นซึ่งเกิดขึ้นจาก “บึงแห่งความอุดมสมบูรณ์” ยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นของฝากชั้นเยี่ยมจากเมืองทาเตบายาชิ อีกทั้งคุณลักษณะพิเศษของซาโตนูมะยังได้ปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งการต้อนรับให้หยั่งรากมั่นคง
*
พื้นที่ชุ่มน้ำทาเตบายาชิตั้งอยู่ภายใต้เงาของภูเขาอากางิและภูเขานิกโก้ อีกทั้งยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟสึกูบะและภูเขาไฟฟูจิได้แต่ไกล ซาโตนูมะในเมืองทาเตบายาชิได้ให้กำเนิดวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งสืบทอดคุณลักษณะพิเศษที่พบได้ในบึงโมรินจิ บึงทาตาระ และบึงโจเท่านั้น คุณลักษณะพิเศษเหล่านี้ได้รับการขัดเกลาเพิ่มเติมเพื่อรักษาจิตวิญญาณแห่งการต้อนรับขับสู้ตั้งแต่การก้าวสู่ความทันสมัยในสมัยเมจิ และปัจจุบันก็ยังคงสืบทอดต่อกันเรื่อยมาในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำของเมืองทาเตบายาชิ
*
27
คฤหาสน์เดิมของตระกูลอากิโมโตะ
*
*
28
ร้านค้าเดิมและบ้านหลักหลังเดิมของผู้ก่อตั้งบริษัทโชดะโชยุ (พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์โชดะ)
*
*
29
สถานีรถไฟทาเตบายาชิของบริษัทการรถไฟโทบุ
*
*
30
สำนักงานเดิมของโรงงานทาเตบายาชิของกลุ่มบริษัทนิชชินเซฟุน (พิพิธภัณฑ์โรงสีนิชชิน)
*
*
31
สำนักงานเดิมของบริษัทผลิตสิ่งทอโจโมมุสลิน
*
*
32
ร้าน “บุนบูกุ ชูโซ” ของบริษัทผลิตเหล้าสาเก (หออนุสรณ์เคซูกะ)
*
*
33
อาคารเดิมของธนาคารทาเตบายาชิชินกิน (สำนักงานสาขาซิวิคเซ็นเตอร์)
*
*
34
อาคารสำนักงานเดิมของ “ทาเตบายาชิ นิเงียว เคนบัง คูมิไอ” สหภาพร้านอาหารและเกอิชา
*
*
35
ที่พักของนักเขียนนวนิยายชื่อคาไต ทายามะ
*
*
36
พิพิธภัณฑ์วรรณกรรมของคาไต ทายามะ (เอกสารเกี่ยวกับคาไต ทายามะ)
*
*
37
ก๋วยเตี๋ยวอุด้งในเมืองทาเตบายาชิ
*
38
“รากูงัน” ขนมหวานแบบแห้ง
*
42
ศาลเจ้าโอริฮิเมะและผ้าสึมูงิเมืองทาเตบายาชิ
*
pagetop